ประวัติของรองเท้า Adidas
เมื่อพุดถึงอุปกรณ์กีฬาที่ยิ่งใหญ่และถือเป็นแบรนด์ระดับโลก
หลายคนย่อมนึกถึง "อาดิดาส" กับแถบ 3
ขีดอันเป็นเอกลักษณ์ของยักษ์ใหญ่แห่งวงการผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาของโลกสัญชาติเยอรมัน
และขาใหญ่แห่งอุตสาหกรรมผลิตสินค้ากีฬา
ซึ่งได้รับความนิยมและมีโรงงานผลิตอุปกรณ์กีฬาตั้งอยู่ทั่วโลกนั้น
มีจุดกำเนิดมาจากชายผู้ทำรองเท้าคู่แรกในชีวิตในครัวที่บ้านของตัวเอง
ชายคนนั้นมีนามว่า อดอล์ฟ "อาดี" ดาสเลอร์
อาดี ดาสเลอร์
เริ่มต้นทำรองเท้าด้วยฝีมือตัวเองทั้งหมดเป็นคู่แรกในชีวิตเมื่อปี 1920 ขณะอายุแค่ 20 ปีเท่านั้น
ด้วยเป้าหมายที่เจ้าตัวตั้งเอาไว้ว่าจะทำให้นักกีฬาทุกคนได้สวมใส่รองเท้าที่ดีที่สุดลงสนามแข่งขัน
ซึ่งมันเป็นแนวคิดที่ติดตัวเขามาตลอดจนกระทั่งเจ้าตัวเสียชีวิตในปี 1978 เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬากว่า 700 รายการ
รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมขนาดยักษ์ใหญ่ของ อาดิดาส ที่มีอยู่ทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบของ
ดาสเลอร์ ได้เป็นอย่างดี
รองเท้าคู่แรกของ ดาสเลอร์
ทำจากวัสดุที่มีอยู่อย่างขัดสนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
หลังจากนั้นเขาริเริ่มที่จะทำธุรกิจผลิตรองเท้าเป็นจริงเป็นจัง
โดยได้รับการสนับสนุนจาก คริสโตฟ บิดาบังเกิดเกล้าซึ่งทำงานในโรงงานทำรองเท้า
รวมถึง เซห์ลีน น้องชายของเขาที่เป็นคนคิดค้นแถบ 3
ขีดอันเป็นสัญลักษณ์ของ อาดิดาส ก่อนที่ รูดอล์ฟ พี่ชาย
จะเข้ามาร่วมหุ้นในเวลาต่อมา โดยวัสดุส่วนใหญ่ที่เขานำมาใช้ทำรองเท้าเป็นผ้าใบ
และด้วยความที่ตัวเขาเองก็เป็นนักกีฬาอยู่แล้ว ส่งผลให้ ดาสเลอร์
มักจจะเข้าใจถึงความต้องการของนักกีฬาได้เป็นอย่างดี
และหลังจากนั้นเขาก็มักจะไปปรากฏตัวอยู่ในการแข่งขันกีฬารายการสำคัญๆ
อยู่เป็นประจำ
รองเท้าส่วนใหญ่ของ อาดี ดาสเลอร์
เน้นไปที่รองเท้าสำหรับนักกรีฑาทั้งประเภทลู่และลานเป็นหลัก โดยครั้งแรกที่รองเท้ารุ่นพิเศษจากโรงงานของเขาถูกสวมใส่โดยนักกีฬาในทัวร์นาเมนต์สำคัญคือในกีฬาโอลิมปิกเกมส์
1928 ที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศฮอลแลนด์
โดยช่วงดังกล่าวเป็นยุคแรกๆที่ ดาสเลอร์
ทดลองผลิตรองเท้าที่มีปุ่มเพื่อช่วยในการยึดเกาะพื้นสนาม พอถึงยุคทศวรรษที่ 1930 ดาสเลอร์ ผลิตรองเท้ากีฬาออกมากว่า 30 แบบสำหรับ 11 ชนิดกีฬา ช่วงนั้นเขามีคนงานอยู่เกือบๆ 100 คน อาดิดาส
ก็กลายเป็นอุตสาหกรรมผลิตรองเท้ากีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หลังจากเริ่มก่อตั้งมาได้ไม่ถึง 2 ทศวรรษเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก เจสซี โอเว่น นักกรีฑาชาวอเมริกัน คว้า 4 เหรียญทองในโอลิมปิกเกมส์ 1936 ที่กรุงเบอร์ลิน
โดยสวมใส่รองเท้าของเขา ขณะที่ อาร์มิน ฮารี่ นักกรีฑาคนแรกของโลกที่วิ่ง 100 เมตรด้วยเวลาต่ำกว่า 10 วินาที
ก็สวมใส่รองเท้าของอาดิดาสเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ดาสเลอร์
ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่หลังถูกพิษสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่นงานจนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ในปี 1947 พร้อมด้วยคนงาน 47 คน
เขาเริ่มทดลองนำเอาความรู้ที่เขามีในช่วงก่อนสงครามโลกมาผลิตรองเท้าด้วยไอเดียใหม่
ๆ รองเท้าคู่แรกที่ ดาสเลอร์ ทำขึ้นหลังสิ้นสุดสงครามโลกนั้น
ทำจากผ้าใบและยางที่เป็นส่วนหนึ่งของถังน้ำมันเชื้อเพลิงของพวกอเมริกัน
ในปี 1948 หลังจาก รูดอล์ฟ มีปัญหาขัดแย้งกับน้องชายของตัวเอง
และแยกตัวออกไปตั้งบริษัทของตัวเองนามว่า "พูม่า" อาดี
ก็ตัดสินใจตั้งชื่อบริษัทของเขาว่า "อาดิดาส"
ซึ่งเกิดจากการนำเอาชื่อเล่นมารวมกับนามสกุลของเขานั่นเอง 1
ปีหลังจากนั้น เขาก็ทำการจดลิขสิทธิตราสัญลักษณ์ 3 ขีด
ซึ่งอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้น
เขาเริ่มผลิตรองเท้าฟุตบอลเป็นครั้งแรกในปี 1949
โดยรองเท้าของเขามีปุ่มที่ทำจากยาง
ในฟุตบอลโลก 1954 ที่ฟาดแข้งกันที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ชื่อเสียงของ อาดี ดาสเลอร์ ก็เริ่มกลายเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เมื่อนักเตะทีมชาติเยอรมันตะวันตก ซึ่งนำทัพโดย ฟริตซ์ วอลเตอร์ และ เฮลมุท ราห์น
พลิกล็อกเอาชนะ ฮังการี มหาอำนาจลูกหนังในยุคนั้นได้สำเร็จในรอบชิงชนะเลิศ
โดยที่ขุนพล "อินทรีเหล็ก" ใส่รองเท้าที่มีปุ่มแบบพิเศษที่ผลิตโดย
อาดิดาส
ซึ่งจะช่วยในการยึดเกาะได้ดีในสภาพพื้นสนามที่เปียกชื้นหลังฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงก่อนเกมการแข่งขัน
ในขณะที่บริษัทของเขาเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนั้น
อาดี ดาสเลอร์ ก็พยายามที่จะสร้างความพิเศษให้กับสินค้าของเขา
ดาสเลอร์เป็นเจ้าของกิจการคนแรกที่ใช้กีฬาในการโปรโมตนวัตกรรมใหม่ๆของเขาต่อสาธารณชน
เขาเริ่มใช้นักกีฬาที่มีชื่อเสียงมาช่วยในการโฆษณาสินค้าของตัวเอง เจสซี่ โอเว่น, มูฮัมหมัด อาลี, แม็กซ์ ชเมลิ่ง,
เซ็ปป์ แฮร์เบอร์เกอร์ ไปจนถึง ฟร้านซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์
ล้วนมีความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมกับตระกูล ดาสเลอร์ ด้วยกันทั้งสิ้น
ทุกวันนี้อาดิดาสก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติเยอรมันเหมือนเมื่อ
56 ปีก่อน
การโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างหนักหน่วง
กลายเป็นหนึ่งในนโยบายหลักในการดำเนินกิจการของ อาดิดาส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ดาสเลอร์
มักจะมีอุปกรณ์กีฬารุ่นใหม่ๆออกมาเพื่อใช้สำหรับการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรองเท้าที่พวกเขามักจะก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ
อาดิดาส ผลิตรองเท้าสำหรับกีฬาเกือบทุกประเภท และจากนั้นเป็นตันมา อาดี และ
ฮอร์สต์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา ก็ช่วยกันสร้าง อาดิดาส
ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่กีฬารายการใหญ่ๆต้องใช้อุปกรณ์กีฬาของพวกเขา
และมันก็ยังคงเป็นแบบนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากรองเท้ากีฬาที่เป็นสินค้าหลักแล้ว
อาดิดาส ยังเริ่มผลิตเสื้อผ้าและชุดแข่งขันในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 1960 ส่วนลูกบอลนั้น พวกเขาเริ่มผลืตในปี 1963 หลังจากนั้น ลูกฟุตบอล อาดิดาส
ก็ถูกเลือกให้เป็นลูกฟุตบอลอย่างเป็นทางการที่ใช้ในการแข่งขันศึกลูกหนังรายการใหญ่ๆมาตลอดนับตั้งแต่ศึกฟุตบอลโลก
1970 เป็นต้นมา
อาดี ดาสเลอร์ เสียชีวิตในปี 1978 ด้วยวัย 78 ปี อย่างไรก็ตาม
มรดกไอเดียความคิด และการพัฒนาอุปกรณ์กีฬาต่างๆนาๆที่เขาทิ้งเอาไว้
ยังคงเป็นตัวช่วยให้บรรดานักกีฬาสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมขึ้นไปเรื่อยๆ มาจนถึงทุกวันนี้
No comments:
Post a Comment